พลังแห่งธรรมชาติ
"ฮวงจุ้ย " เป็นการศึกษาถึง "พลังงาน " หรือ "ชี่ " ที่มีความสัมพันธ์กับปรากฏการณ์ธรรมชาติและความเป็นไปของมนุษย์ ซึ่ง "ชี่ " ก็คือ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าช่วงความถี่ประมาณ 360-120,000 Hz หรือที่เรียกว่า "สเปคตัมชีวภาพ
"
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพลังงานแห่งจักรวาลที่ถูกส่งจากเอกภพมายังดวงอาทิตย์ใน
ระบบสุริยะจักรวาลของเราและดวงอาทิตย์ก็ส่งต่อมายังโลกที่เราอยู่
การเรียนรู้หรือการอธิบาย "ฮวงจุ้ย " ในเชิงวิทยาศาสตร์นั้น จะต้องใช้ความรู้เกี่ยวกับ Maxwell's Theory, Quantum Theory และ Einstein's Theory of Relativity เป็นอย่างน้อย จึงจะพูดได้ว่าผู้นั้นเข้าใจ "ฮวงจุ้ย " เชิงวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง
นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่า ร่างกายมนุษย์เป็นแหล่งพลังงานธรรมชาติอย่างหนึ่ง ที่สามารถผลิตคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอ่อนๆ อยู่ตลอดเวลา โจวหลิน ( Zhou Lin ) นักวิศวกรรมไฟฟ้าชาวจีน ค้นพบว่า การเคลื่อนไหวและการหมุนตัวของโมเลกุลของสสารในร่างกาย ทำให้เกิดแถบคลื่น การสั่นของแม่เหล็กไฟฟ้าในช่วงสเปคตรัมของแสงรังสีอินฟราเรด ไมโครเวฟ จนถึงความถี่ชีวภาพ ( สเปคตัมมนุษย์ ซึ่งเกิดจากการหมุนและเคลื่อนตัวของสารอินทรีย์ในร่างกาย ) จากทฤษฎีที่ว่า "วัตถุที่แผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาได้ ย่อมดูดซึมซัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดเดียวกันได้ " จนเป็นที่มาของการคิดค้นผลิตเครื่อง BFS: BIO-FREQUENCY SPECTRUM ให้วงการแพทย์ในที่สุดและได้รับการยอมรับจากทั่วโลกมาตั้งแต่ปี 1985
ชี่ หรือพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าในช่วงความถี่ชีวภาพ ( สเปคตัมมนุษย์ ) ที่อยู่ช่วงประมาณความถี่เสียงประมาณ 360-120,000 Hz ( ต่ำกว่าความถี่ที่ต่ำที่สุดของคลื่น AM อีก 5-400 เท่า ) แม้ชี่จะไม่ได้ใช้อากาศเป็นพาหะในการพาคลื่นเหมือนเสียง แต่เนื่องจากมันมีความถี่ต่ำมากๆ อากาศหรือลมย่อมมีอิทธิพลกับชี่ค่อนข้างมาก แต่ถึงอย่างไรชี่ไม่จำเป็นต้องส่งพลังถึงมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ผ่านอากาศหรือลมเท่านั้น มันสามารถผ่านทะลุกำแพง ภูเขา ได้ด้วยคุณสมบัติการเป็นแม่เหล็กไฟฟ้าด้วย รวมทั้งสิ่งมีชีวิตยังมีการสะสมชี่ไว้ในตัวเช่น เมล็ดพืช ไข่ เป็นต้น ( เพื่อส่งต่อให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตใหม่ ๆ และเพื่อการเจริญเติบโต )
ปราชญ์ชาวจีนรู้จัก ชี่ มามากกว่า 5,000 ปี โดยแบ่งพลังของ ชี่ ออกเป็นช่วง ๆ ระหว่าง 360-120,000 Hz ออกเป็นได้ 10 ประเภท เรียงตามความถี่ จากความถี่ต่ำสุด ไปยังความถี่สูงสุด ดังนี้คือ น้ำยิ้ม 王, น้ำกุ่ย 癸, ไม้กะ 甲, ไม้อิก 乙, ไฟเปี้ย 丙, ไฟเต็ง 丁, ดินโบ่ง 戊, ดินกี้ 己, ทองแก 庚 และ ทองซิง 辛 ซึ่งถือว่าเป็นพลังบริสุทธิ์ที่ถูกส่งมาจากจักรวาล เรียกว่า ราศีบน
ส่วน น้ำจื้อ - ชวด 子, ดินทิ่ว - ฉลู 丑, ไม้เอี้ยง - ขาน 寅, ไม้เบ้า - เถาะ 卯, ดินซิ้ง - มะโรง 辰, ไฟจี๋ - มะเส็ง 巳, ไฟโง่ว - มะเมีย 午, ดินบี่ - มะแม 末, ทองซิน - วอก 申, ทองอิ้ว - ระกา 酉, ดินสุก - จอ 辰 & น้ำไห - กุน 子 เป็นพลังหลังจากที่โลกได้ดูดกลืนพลังบริสุทธิ์ไว้และคลายออกมาเป็นพลังงานผสม เรียกว่า ราศีล่าง
ยุคก่อน 2,500 ปี ถือว่าเป็นยุคแห่งโลกจิตวิญญาณ เป็นยุคที่ไม่มีสงคราม ไม่มีการแก่งแย่ง คนที่มีสติปัญญา คนที่มีคุณธรรมสูงสุดถูกยกเป็นผู้นำ ( พระพุทธองค์ ทรงประสูตร ปลายยุคแห่งโลกจิตวิญญาณ ต้นยุคแห่งโลกวัตถุนิยม ) ในพระไตรปิฏกได้รวบรวมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไว้อย่างน่าอัศจรรย์ พระพุทธองค์ทรงอธิบายวัฏจักรการกำเนิดและดับสิ้นของเอกภพ วัฎจักรการกำเนิด และดับสิ้นของธรรมธาตุ ( สสารหรืออะตอม ) ก่อนที่นักวิทยาศาสตร์จะเริ่มเรียนรู้ถึง 2,500 ปี มีตอนหนึ่ง ที่พระองค์ทรงอธิบายถึงธรรมธาตุของโลกว่า เมื่อดวงอาทิตย์ร้อนขึ้น ขยายใหญ่ขึ้น ดาวเคราะห์บริวารที่ประกอบด้วยธรรมธาตุมวลเบา เมื่อรับพลังงานจากดวงอาทิตย์มากขึ้น ธรรมธาตุเหล่านั้นบางส่วนจะแปรสภาพเป็นธรรมธาตุมวลที่หนักขึ้น จนดาวเคราะห์ดวงนั้นมีความสมดุลที่จะก่อเกิดสิ่งมีชีวิต ( ในพระไตรปิฏกมนุษย์ไม่จำเป็นต้องเป็นคนเสมอไป แต่หมายถึง “สัตว์” ที่ประเสริฐที่สุดในยุคๆ นั้น ) แต่เมื่อดวงอาทิตย์ร้อนมากขึ้น ขยายใหญ่มากขึ้นจนดาวเคราะห์ดวงนั้นขาดความสมดุล ธรรมธาตุก็ย่อมขาดความสมดุลไปด้วย จนกลายเป็นดวงไฟหรือดวงอาทิตย์ดวงใหม่ และดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ ในลำดับถัดไป จะกลายเป็นโลกแทน รวมแล้วจะมีดวงอาทิตย์ถึง 7 ดวง ดวงอาทิตย์จึงจะหดตัวลง ( จนธรรมธาตุของดาวเสาร์ บางส่วนจากมวลเบาเปลี่ยนเป็นมวลหนัก มีสภาพสมดุลจนเหมาะสมที่จะก่อเกิดสิ่งมีชีวิต) เป็นวัฎจักรเช่นนี้ทุกๆ 14,000 ล้านปี ธรรมธาตุมวลหนัก ถ้าไม่มีพลังงานมาหล่อเลี้ยงมันจะคลายพลังงานจนเสียสมดุล กลายเป็นธรรมธาตุมวลเบา ภายในเวลา 1 นาทีบ้าง 1 ปีบาง แต่ส่วนใหญ่จะไม่เกิน 100 ล้านปี
ในโลกของวิทยาสตร์ทุกสาขาเป็นการศึกษาเฉพาะทางกายภาพหรือวัตถุธาตุ ( ธรรมธาตุ ) แม้ว่าจะมีการศึกษาทางพลังงานแต่ก็เป็นพลังงานที่แฝงตัวอยู่ในวัตถุธาตุ เคยมีการศึกษาหรือคำนวนค่าพลังงานจริงๆ ที่ปราศจากวัตถุธาตุ แม้แต่สูตร Einstein's Theory of Relativity ยังยึดติดกับมวลสารที่มีความเร็วได้ไม่เกินแสง หรือแม้แต่แสงก็ยังใช้วัตถุธาตุที่เรียกว่า Quark เป็นตัวนำพาพลังงาน ( คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ) ใน Quantum Theory เราพบว่าวัตถุธาตุแฝด ( ธรรมธาตุแฝด ) ที่เกิดจากการยิงโปรตอนเพื่อทำลายนิวเคลียสของธาตุมวลหนัก เมื่อเรากระทำการใดๆ กับธาตุแฝดธาตุหนึ่งอย่างไร ธาตุแฝดอีกธาตุหนึ่งจะได้รับผลทันที (มีการส่ง ผ่านพลังงานที่เร็วกว่าแสง โดยที่ไม่ต้องผ่านตัวนำพา) ความจริงทุกวันนี้ ทฤษฎีก่อนหน้า Quantum Theory และ Einstein's Theory of Relativity ถือว่ามีความผิดพลาดใช้ในขอบเขตจำกัด เช่น กฏของนิวตันใช้ได้ไม่เกินความเร็วเสียง เป็นต้น
นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่า ร่างกายมนุษย์เป็นแหล่งพลังงานธรรมชาติอย่างหนึ่ง ที่สามารถผลิตคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอ่อนๆ อยู่ตลอดเวลา โจวหลิน ( Zhou Lin ) นักวิศวกรรมไฟฟ้าชาวจีน ค้นพบว่า การเคลื่อนไหวและการหมุนตัวของโมเลกุลของสสารในร่างกาย ทำให้เกิดแถบคลื่น การสั่นของแม่เหล็กไฟฟ้าในช่วงสเปคตรัมของแสงรังสีอินฟราเรด ไมโครเวฟ จนถึงความถี่ชีวภาพ ( สเปคตัมมนุษย์ ซึ่งเกิดจากการหมุนและเคลื่อนตัวของสารอินทรีย์ในร่างกาย ) จากทฤษฎีที่ว่า "วัตถุที่แผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาได้ ย่อมดูดซึมซัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดเดียวกันได้ " จนเป็นที่มาของการคิดค้นผลิตเครื่อง BFS: BIO-FREQUENCY SPECTRUM ให้วงการแพทย์ในที่สุดและได้รับการยอมรับจากทั่วโลกมาตั้งแต่ปี 1985
ชี่ หรือพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าในช่วงความถี่ชีวภาพ ( สเปคตัมมนุษย์ ) ที่อยู่ช่วงประมาณความถี่เสียงประมาณ 360-120,000 Hz ( ต่ำกว่าความถี่ที่ต่ำที่สุดของคลื่น AM อีก 5-400 เท่า ) แม้ชี่จะไม่ได้ใช้อากาศเป็นพาหะในการพาคลื่นเหมือนเสียง แต่เนื่องจากมันมีความถี่ต่ำมากๆ อากาศหรือลมย่อมมีอิทธิพลกับชี่ค่อนข้างมาก แต่ถึงอย่างไรชี่ไม่จำเป็นต้องส่งพลังถึงมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ผ่านอากาศหรือลมเท่านั้น มันสามารถผ่านทะลุกำแพง ภูเขา ได้ด้วยคุณสมบัติการเป็นแม่เหล็กไฟฟ้าด้วย รวมทั้งสิ่งมีชีวิตยังมีการสะสมชี่ไว้ในตัวเช่น เมล็ดพืช ไข่ เป็นต้น ( เพื่อส่งต่อให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตใหม่ ๆ และเพื่อการเจริญเติบโต )
ปราชญ์ชาวจีนรู้จัก ชี่ มามากกว่า 5,000 ปี โดยแบ่งพลังของ ชี่ ออกเป็นช่วง ๆ ระหว่าง 360-120,000 Hz ออกเป็นได้ 10 ประเภท เรียงตามความถี่ จากความถี่ต่ำสุด ไปยังความถี่สูงสุด ดังนี้คือ น้ำยิ้ม 王, น้ำกุ่ย 癸, ไม้กะ 甲, ไม้อิก 乙, ไฟเปี้ย 丙, ไฟเต็ง 丁, ดินโบ่ง 戊, ดินกี้ 己, ทองแก 庚 และ ทองซิง 辛 ซึ่งถือว่าเป็นพลังบริสุทธิ์ที่ถูกส่งมาจากจักรวาล เรียกว่า ราศีบน
ส่วน น้ำจื้อ - ชวด 子, ดินทิ่ว - ฉลู 丑, ไม้เอี้ยง - ขาน 寅, ไม้เบ้า - เถาะ 卯, ดินซิ้ง - มะโรง 辰, ไฟจี๋ - มะเส็ง 巳, ไฟโง่ว - มะเมีย 午, ดินบี่ - มะแม 末, ทองซิน - วอก 申, ทองอิ้ว - ระกา 酉, ดินสุก - จอ 辰 & น้ำไห - กุน 子 เป็นพลังหลังจากที่โลกได้ดูดกลืนพลังบริสุทธิ์ไว้และคลายออกมาเป็นพลังงานผสม เรียกว่า ราศีล่าง
ยุคก่อน 2,500 ปี ถือว่าเป็นยุคแห่งโลกจิตวิญญาณ เป็นยุคที่ไม่มีสงคราม ไม่มีการแก่งแย่ง คนที่มีสติปัญญา คนที่มีคุณธรรมสูงสุดถูกยกเป็นผู้นำ ( พระพุทธองค์ ทรงประสูตร ปลายยุคแห่งโลกจิตวิญญาณ ต้นยุคแห่งโลกวัตถุนิยม ) ในพระไตรปิฏกได้รวบรวมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไว้อย่างน่าอัศจรรย์ พระพุทธองค์ทรงอธิบายวัฏจักรการกำเนิดและดับสิ้นของเอกภพ วัฎจักรการกำเนิด และดับสิ้นของธรรมธาตุ ( สสารหรืออะตอม ) ก่อนที่นักวิทยาศาสตร์จะเริ่มเรียนรู้ถึง 2,500 ปี มีตอนหนึ่ง ที่พระองค์ทรงอธิบายถึงธรรมธาตุของโลกว่า เมื่อดวงอาทิตย์ร้อนขึ้น ขยายใหญ่ขึ้น ดาวเคราะห์บริวารที่ประกอบด้วยธรรมธาตุมวลเบา เมื่อรับพลังงานจากดวงอาทิตย์มากขึ้น ธรรมธาตุเหล่านั้นบางส่วนจะแปรสภาพเป็นธรรมธาตุมวลที่หนักขึ้น จนดาวเคราะห์ดวงนั้นมีความสมดุลที่จะก่อเกิดสิ่งมีชีวิต ( ในพระไตรปิฏกมนุษย์ไม่จำเป็นต้องเป็นคนเสมอไป แต่หมายถึง “สัตว์” ที่ประเสริฐที่สุดในยุคๆ นั้น ) แต่เมื่อดวงอาทิตย์ร้อนมากขึ้น ขยายใหญ่มากขึ้นจนดาวเคราะห์ดวงนั้นขาดความสมดุล ธรรมธาตุก็ย่อมขาดความสมดุลไปด้วย จนกลายเป็นดวงไฟหรือดวงอาทิตย์ดวงใหม่ และดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ ในลำดับถัดไป จะกลายเป็นโลกแทน รวมแล้วจะมีดวงอาทิตย์ถึง 7 ดวง ดวงอาทิตย์จึงจะหดตัวลง ( จนธรรมธาตุของดาวเสาร์ บางส่วนจากมวลเบาเปลี่ยนเป็นมวลหนัก มีสภาพสมดุลจนเหมาะสมที่จะก่อเกิดสิ่งมีชีวิต) เป็นวัฎจักรเช่นนี้ทุกๆ 14,000 ล้านปี ธรรมธาตุมวลหนัก ถ้าไม่มีพลังงานมาหล่อเลี้ยงมันจะคลายพลังงานจนเสียสมดุล กลายเป็นธรรมธาตุมวลเบา ภายในเวลา 1 นาทีบ้าง 1 ปีบาง แต่ส่วนใหญ่จะไม่เกิน 100 ล้านปี
ในโลกของวิทยาสตร์ทุกสาขาเป็นการศึกษาเฉพาะทางกายภาพหรือวัตถุธาตุ ( ธรรมธาตุ ) แม้ว่าจะมีการศึกษาทางพลังงานแต่ก็เป็นพลังงานที่แฝงตัวอยู่ในวัตถุธาตุ เคยมีการศึกษาหรือคำนวนค่าพลังงานจริงๆ ที่ปราศจากวัตถุธาตุ แม้แต่สูตร Einstein's Theory of Relativity ยังยึดติดกับมวลสารที่มีความเร็วได้ไม่เกินแสง หรือแม้แต่แสงก็ยังใช้วัตถุธาตุที่เรียกว่า Quark เป็นตัวนำพาพลังงาน ( คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ) ใน Quantum Theory เราพบว่าวัตถุธาตุแฝด ( ธรรมธาตุแฝด ) ที่เกิดจากการยิงโปรตอนเพื่อทำลายนิวเคลียสของธาตุมวลหนัก เมื่อเรากระทำการใดๆ กับธาตุแฝดธาตุหนึ่งอย่างไร ธาตุแฝดอีกธาตุหนึ่งจะได้รับผลทันที (มีการส่ง ผ่านพลังงานที่เร็วกว่าแสง โดยที่ไม่ต้องผ่านตัวนำพา) ความจริงทุกวันนี้ ทฤษฎีก่อนหน้า Quantum Theory และ Einstein's Theory of Relativity ถือว่ามีความผิดพลาดใช้ในขอบเขตจำกัด เช่น กฏของนิวตันใช้ได้ไม่เกินความเร็วเสียง เป็นต้น
เมื่อเรานำข้อมูลสถิติของพลังงานประมาณ 100,000 กว่าปี
มาเทียบกับนับอิมเซียงแซ จะประมาณว่าช่วงรอบพลังงานใหญ่ ( รอบใหญ่ ) ค.ศ.
1600-5055 มีนับอิมเป็น 丙寅丁卯 ( นับอิมเซียงแซ ซี่-แป่ ไฟในเตา
ไฟจะเผาทุกอย่างที่ขวางหน้าจนมอดไหม้ ) ช่วงรอบพลังงานกลาง ( รอบกลาง )
ค.ศ. 1924-2067 มีนับอิมเป็น 丙寅丁卯 และช่วงรอบพลังงานเล็ก ( รอบเล็ก ) ค.ศ.
2008-2031 มีนับอิมเป็น 庚午辛末 (
นับอิมเซียงแซ เจาะ-หมอ ดินข้างทาง ดินเสียหาย น้ำ-ไฟ จะทำลายกัน )
ดังนั้นถ้าจะเดาภัยพิบัติครั้งใหญ่ตามนับอิมเซียงแซแบบเร็วสุด น่าจะเป็นปี
ค.ศ. 2056-2079 甲戍乙亥 (นับอิมเซียงแซ ซวย-ตี๋อ่วง ภูเขาไฟ) มากกว่า
นับจากวันที่ 26 ธันวาคม ค.ศ. 2003 เป็นต้นมา โลกเคลื่อนตัวผิดสังเกตมากๆ
คือเคลื่อนตัวไปตามเส้นสีแดง
เริ่มจากกลางมหาสมุทรอินเดียขึ้นไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือแล้ววกผ่าเข้า
กลางอเมริกาเหนือลงมากลางมหาสมุทรอินเดีย ( เฉพาะวันที่ 26 ธันวาคม ค.ศ.
2003 มีการเคลื่อนตัวถึง 15 km ทำให้ประมาณว่า
ตามแนวนี้อาจมีการเคลื่อนตัวไม่น้อยกว่า 100 km จึงจะสงบ)
โดยทุกครั้งหลังเกิดการเคลื่อนตัวครั้งใหญ่
จะเกิดปรากฏการณ์ฟันเฟืองตามวงกลมสีแดง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น